Green Area

หากพูดถึงความยั่งยืนกับงานสถาปัตยกรรมในปัจจุบัน ผู้คนให้ความสำคัญกับพื้นที่สีเขียวกันมากขึ้น ซึ่งพื้นที่สีเขียวนอกจากจะส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังมีผลต่อสุขภาพกายและใจอีกด้วย  ทำให้องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้มีการกำหนดค่ามาตรฐานให้มีพื้นที่สีเขียวที่เหมาะสมอยู่ที่ 9 ตารางเมตรต่อคน แต่อย่างไรก็ตาม กรุงเทพฯ นั้นมีพื้นที่สีเขียวเพียง 7.59 ตารางเมตรต่อคนเท่านั้น  เพื่อให้ทุกคนเล็งเห็นความสำคัญของพื้นที่สีเขียวกันมากขึ้น Africvs จึงชวนมาเปิดความเข้าใจ และ ทำความรู้จักกับพื้นที่สีเขียว ที่ไม่ใช่แค่เป็นพื้นที่ปลูกต้นไม้เท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์ต่อเมืองและผู้คน

.

ความหมายของพื้นที่สีเขียว

               เดิมทีเมื่อพูดถึงพื้นที่สีเขียวมักจะเข้าใจเป็นพื้นที่ที่ปกคลุมด้วยพืชพรรณ เท่านั้น แต่ในปี 2562 สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ได้กำหนดนิยามของพื้นที่สีเขียวอย่างยั่งยืน ตามแนวทางการขับเคลื่อนการจัดการพื้นที่สีเขียวอย่างยั่งยืนไว้ว่า พื้นที่ที่มีพืชพรรณหลากหลายชนิด โดยมีไม้ยืนต้นขนาดใหญ่เป็นองค์ประกอบหลัก ได้รับการดูแลรักษาอย่างยั่งยืน เพื่อสร้างสมดุลทางระบบนิเวศและสภาพแวดล้อมที่ดี สวยงาม ร่มเย็น ซึ่งช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในเมืองและชุมชน รวมถึงเสริมสร้างเศรษฐกิจของชุมชนด้วย ซึ่งเป็นลักษณะ ซึ่งแนวทางการขับเคลื่อนจัดการพื้นที่สีเขียวอย่างยั่งยืนมีการวางเป้าหมายระยะยาวที่จะเพิ่มพื้นที่สีเขียวยั่งยืนให้ได้อย่างน้อย 15 ตารางเมตรต่อคน

ตัวอย่าง Vegetated roof

Credit: https://www.edtguide.com/content/toplist/80072

.

ประโยชน์ของพื้นที่สีเขียว

พื้นที่สีเขียว นอกจากจะมีประโยชน์ในการช่วยฟอกอากาศและมลภาวะแล้ว ยังช่วยให้เสริมสร้างสุขภาวะทั้งทางร่างกายจากการเปิดโอกาสให้มีกิจกรรมกลางแจ้ง และสุขภาวะทางใจโดยเป็นพื้นที่ ผ่อนคลาย พักผ่อนหย่อนใจ และ เสริมสร้างกิจกรรมที่สร้างปฏิสัมพันธ์ทางสังคม

.

ในด้านสิ่งแวดล้อมการมีพื้นที่สีเขียวยั่งยืนจะช่วยสร้างถิ่นที่อยู่และอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ (biodiversity) ของพืชและสัตว์ที่อาศัยในท้องถิ่นนั้น หากร่วมกับการออกแบบให้มีพื้นที่สีเขียวที่เข้าถึงได้ในระดับชุมชน และการผสมผสานพื้นที่สีเขียวในบริบทเมือง เช่นการออกแบบพื้นที่เกาะกลางถนนหรือทางเดินเท้าให้มีพื้นที่สีเขียวร่วมด้วย จะทำให้เกิด green corridor ช่วยเป็นร่มเงาให้แก่เมืองและผู้สัญจรด้วยเท้า ลดความร้อนที่เป็นผลกระทบจากเกาะความร้อนที่ลดลง เนื่องจากพื้นที่สีเขียวจะช่วงลดอุณหภูมิลงผ่านการดูดซับรังสีจากดวงอาทิตย์ทั้งทางตรงและทางอ้อม อีกทั้งการคายน้ำของพืชจะช่วยให้อากาศในเมืองนั้นเย็นลง โดยการออกแบบพื้นที่สีเขียวอย่างยั่งยืนนั้นจำเป็นต้องพิจารณาใช้พืชพันธุ์ที่ไม่เป็นชนิดพันธุ์รุกราน เช่นเป็นพืชที่โตในท้องถิ่นที่เหมาะสมกับสภาพอากาศ ลดการบริหารจัดการและยังช่วยประหยัดน้ำอีกด้วย

.

โดยพื้นที่สีเขียวในเมืองเหล่านี้ยังช่วยเพิ่มพื้นที่ซึมผ่านของน้ำฝน ชะลอปริมาณน้ำฝนที่จะไหลตรงสู่ระบบระบายน้ำของเมือง เพื่อลดความเสี่ยงของน้ำขังรอการระบาย และความเสี่ยงของการเกิดอุทกภัย การออกแบบพื้นที่สีเขียวที่ช่วยบริหารจัดการน้ำฝนสามารถทำได้โดยการออกแบบให้มีพืชที่กักเก็บน้ำและระบบระบายที่เหมาะสม เช่น rain garden ที่เลือกชนิดพันธุ์ต้นไม้ที่สามารถทนทานน้ำท่วมขังชั่วคราว ทำให้สามารถกักน้ำไว้ให้ค่อยไหลซึมลงดิน

Credit: https://www.modernglobe.com/how-to-create-a-rain-garden/

พื้นที่สีเขียวมีส่วนเกี่ยวข้องกับกฎหมายไทยอย่างไร

ในกฎกระทรวง ให้ใช้บังคับผังเมืองรวมกรุงเทพมหานคร พ.ศ.2556 มีข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่สีเขียว เรียกว่า “อัตราส่วนชีวภาพหรือพื้นที่น้ำซึมผ่านได้เพื่อปลูกต้นไม้ต่อพื้นที่ว่าง (Biotope Area Factor, BAF)”  หมายถึง พื้นที่ในระดับดินที่จัดไว้เพื่อให้น้ำบนผิวดินซึมผ่านลงสู่ใต้ดินได้โดยสะดวก โดยมีข้อกำหนดให้มีอัตราส่วนของ BAF ไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของพื้นที่ว่าง (OSR) โดยการกำหนดพื้นที่ OSR และ BAF ในลักษณะนี้จะช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้แก่เมือง

.

นอกจากนี้ในการประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของโครงการ (EIA) ยังมีการพิจารณาหลักเกณฑ์เรื่องพื้นที่ว่างและพื้นที่สีเขียวตามประเภทของอาคาร ซึ่งจะมีการพิจารณาเรื่องสัดส่วนของไม้ยืนต้น และพื้นที่สีเขียวต่อผู้ใช้งานอาคารอีกด้วย

พื้นที่สีเขียวมีส่วนเกี่ยวข้องกับเกณฑ์ LEED อย่างไร

               ตามของมาตรฐาน LEED นั้น มีข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่สีเขียวภายในในโครงการเช่นกัน โดยกำหนดให้มีขนาดพื้นที่ “Vegetated Space” หรือพื้นที่ปลูกพืชพรรณไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 ของพื้นที่เปิดโล่งเชิงนิเวศ (Ecological Open Space) ที่กำหนดให้ต้องมีอย่างน้อย ร้อยละ 30 ของผืนที่ดินโครงการ โดยพื้นที่เปิดโล่งเชิงนิเวศนั้นต่างกับพื้นที่ OSR ตามกฎหมาย เพราะจะนับรวมเฉพาะพื้นที่เปิดโล่งที่สามารถถูกใช้งานในการทำกิจกรรมต่างๆได้เท่านั้น ไม่รวมพื้นที่ถนน นอกจากนั้นพื้นที่เปิดโล่งที่เป็นสนามหญ้านั้น ในแง่มุมของ LEED ยังไม่สามารถนำมานับเป็นพื้นที่สีเขียวได้ เนื่องจากข้อจำกัดในความหลากหลายของพืชพันธุ์ และประโยชน์ต่อผู้ใช้งาน ซึ่งจะเห็นได้ว่าให้พื้นที่สีเขียวในแง่มุมของของ LEED นั้นมีลักษณะสอดคล้องกับพื้นที่สีเขียวอย่างยั่งยืนที่นิยามโดย สผ.อย่างชัดเจน โดยเน้นให้เป็นพื้นที่สีเขียวที่มีประโยชน์โดยตรงต่อสิ่งแวดล้อม สร้างความหลากหลายทางชีวภาพ สวยงาม ร่มเย็น และช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในเมืองและชุมชน

.

จากที่กล่าวมาข้างต้นแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของพื้นที่สีเขียวที่มีต่อเมืองและคนในหลากหลายด้าน รวมถึงแนวทางการออกแบบพื้นที่สีเขียวที่ยั่งยืน ที่เน้นให้เกิดประโยชน์สูงสุด


อ้างอิง

https://tgu.onep.go.th/#/home#section3
https://www.usgbc.org/credits/SS107
https://www.thaiclimatejusticeforall.com/archives/4522
https://www.thaiclimatejusticeforall.com/archives/4527
https://drive.google.com/file/d/1BqHr6n4sE2XKWgv8_8DEqrII9KFJtvGD/preview
https://webportal.bangkok.go.th/upload/user/00000112/News/TRM/document%20TRM2/clean/1/4july/6.pdf
https://www.forestresearch.gov.uk/tools-and-resources/fthr/urban-regeneration-and-greenspace-partnership/types-of-greenspace

Environmental Product Declarations (EPD)

What’s about the EPD requirements?

เลือกใช้วัสดุอาคารที่ผ่านการรับรองมาตรฐานสิ่งแวดล้อมฉลาก EPD โดยสามารถทำคะแนนในมาตรฐาน LEED ได้ดังนี้

What is an EPD?

Environmental Product Declaration หรือ EPD คือ ฉลากผลิตภัณฑ์ที่รับรองตาม มาตรฐานสิ่งแวดล้อม ชนิดหนึ่งที่แสดง“ข้อมูลการผลิตและการนำไปใช้” รวมไปถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นตลอดอายุการใช้งาน โดยใช้วัฎจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ (Life Cycle Assessment; LCA) เป็นตัวประเมินความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยผ่านการรับรองจากองค์กรอิสระ ตามมาตรฐานสิ่งแวดล้อม Type lll – ISO 14025

.

How to achieve EPD Criteria for LEED Certification?

การจัด EPD ของผลิตภัณฑ์ แบ่งเป็น 4 แบบซึ่งมาตรฐาน LEED จะให้ค่าน้ำหนักคะแนนที่แตกต่างกันไปตามความเข้นข้นของกระบวนการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและการตรวจสอบข้อมูล สามารถเลือกทำอย่างใดอย่างหนึ่งได้ ตามรายละเอียดดังนี้

How to achieve EPD Criteria for LEED Certification?

การจัด EPD ของผลิตภัณฑ์ แบ่งเป็น 4 แบบ สามารถเลือกทำอย่างใดอย่างหนึ่งได้ ตามรายละเอียดดังนี้

1. Life-Cycle Assessment (LCA):

จัดทำข้อกำหนดเฉพาะสำหรับการประเมิน (Product Category Rules; PCR) เลือกหมวด PCR เพื่อตั้งเป้าหมายในการขอ EPD โดยจัดทำเก็บข้อมูลตามเป้า และจัดทำวัฎจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ (Life Cycle Assessment; LCA) ISO 14044 ในขอบเขต Cradle to gate จากข้อมูลที่รวบรวมตาม PCR ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องผ่านการตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญ (Internally Reviewed)

2. Product specific type lll EPD – Internally Reviewed:

จัดทำโดยการนำรายงาน LCA ISO 14071 (Cradle to gate และข้อมูลตามมาตรฐาน ISO 14025, EN 15804/ ISO 21930 ตรวจสอบภายในองค์กรผู้ผลิตโดยผู้เชี่ยวชาญ และเผยแพร่ผลการวิเคราะห์ข้อมูลผ่าน Program Operator (เฉพาะผลิตภัณฑ์)

3. Industry-wide type lll EPD:

จัดทำโดยการนำรายงาน LCA (Cradle to gate) และข้อมูลตามมาตรฐาน ISO 14025, EN 15804/ ISO 21930 ตรวจสอบและรับรองผ่านองค์กรกลางที่เป็นบุคคลที่ 3 และเผยแพร่ผลการวิเคราะห์ข้อมูลผ่าน Program Operator

.

Product specific type lll EPD – Externally Reviewed:

จัดทำโดยการนำรายงาน LCA (Cradle to gate) และข้อมูลตามมาตรฐาน ISO 14025, EN 15804/ ISO 21930 ตรวจสอบและรับรองผ่านองค์กรกลางที่เป็นบุคคลที่ 3 และเผยแพร่ผ่าน Program Operator (เฉพาะผลิตภัณฑ์)

.


EPD requirements in LEED rating systems

1. อาคาร LEED ประเภท Building Design and Construction (LEED BD+C)

a.) LEED New Construction and Major Renovation / Healthcare; HC / School / Retail / Data Center / Hospitality: ใช้ผลิตภัณฑ์ติดตั้งถาวร (permanently-installed products) ภายในโครงการที่มี EPD หลากหลายอย่างน้อย 20 ผลิตภัณฑ์ โดยต้องมาจากผู้ผลิตที่แตกต่างกันอย่างน้อย 5 ผู้ผลิต (LEEDv4.1, April 2023)

b.) LEED Core and Shell: CS / Warehouse and Distribution Centers: ใช้ผลิตภัณฑ์ติดตั้งถาวรภายในโครงการที่มี EPD หลากหลายอย่างน้อย 10 ผลิตภัณฑ์ โดยต้องมาจากผู้ผลิตที่แตกต่างกันอย่างน้อย 3 ผู้ผลิต

2. อาคาร LEED ประเภท Interior Design and Construction (LEED ID+C)

a.) LEED Commercial Interior / Retail / Hospitality: ใช้ผลิตภัณฑ์ติดตั้งถาวรภายในโครงการที่มี EPD หลากหลายอย่างน้อย 10 ผลิตภัณฑ์ โดยต้องมาจากผู้ผลิตที่แตกต่างกันอย่างน้อย 3 ผู้ผลิต (LEEDv4.1, April 2023)


KEYWORDS

วัสดุที่ติดตั้งถาวร (Permanently-installed products) คือ วัสดุก่อสร้างงานวิศวกรรมโครงสร้าง สถาปัตยกรรม งานตกแต่งภายใน เช่น ผนัง ฝ้าเพดาน พื้น วัสดุโครงสร้างที่ติดตั้งถาวร ซึ่งไม่นับรวมอุปกรณ์เครื่องกล ประปา ไฟฟ้า (MEP) อุปกรณ์ทางเทคนิคประกอบอาคารอื่นๆ และวัสดุที่ติดตั้งใช้งานเพียงชั่วคราวในโครงการนั้นๆ

LCA (Life Cycle Assessment) คือ การประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นตลอดอายุการใช้งาน โดยใช้วัฎจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์

Cradle to gate คือ การประเมินผลกระทบตลอดวัฏจักรของผลิตภัณฑ์ตั้งแต่การสกัดวัตถุดิบ การผลิต แปรรูป จนกระทั่งได้ผลิตภัณฑ์มาถึงหน้า “ประตู” ของโรงงาน แต่จะไม่รวมขั้นตอนการขนส่งมายังสถานที่ก่อสร้าง การติดตั้ง และการกำจัดซาก

Internally Reviewed คือ ขั้นตอนการตรวจสอบภายในองค์กรของผู้ผลิตนั้นๆ เกี่ยวกับข้อกำหนดเฉพาะสำหรับการประเมิน (Product Category Rules; PCR) และวัฎจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ (Life Cycle Assessment; LCA) ซึ่งเป็นขั้นตอนในการประเมินเพื่อจัดทำ EPD Certification

Externally Reviewed คือ ขั้นตอนการตรวจสอบจากหน่วยงานอิสระ หรือองค์กรกลางที่เป็นบุคคลที่ 3 ในการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล

Program Operator คือ องค์กรที่ให้บริการตลอดกระบวนจัดทำ EPD เช่น EPD, GREENGUARD, UL, SCS Global Service, ASTM International, NSF International, IBU, ES, IERE, FP innovations เป็นต้น

มาตรฐานสิ่งแวดล้อม Type lll คือ เป็นฉลากที่บ่งบอกถึงผลกระทบของผลิตภัณฑ์ต่อสิ่งแวดล้อมตาม ISO 14025 โดยมีการแสดงข้อมูลสิ่งแวดล้อมโดยรวม (Environmental information) โดยการใช้เครื่องมือการประเมินผลกระทบตลอดวัฏจักรชีวิตของสิ่งแวดล้อม (Life Cycle Assessment; LCA) เข้ามาประเมิน ตามมาตรฐาน ISO 14040 ในขอบเขตขั้นพื้นฐาน Cradle to gate โดยฉลากนี้จะมีหน่วยงานอิสระ หรือองค์กรกลางในการทำหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลก่อนที่จะประกาศลงกับผลิตภัณฑ์นั้นๆ ต่อไป ได้แก่ EPD Program Operator


References and Sources

ข้อมูลอ้างอิง

– Environmental Product Declarations requirement in LEEDv4.1: https://www.usgbc.org/credits/new-construction-core-and-shell-schools-new-construction-retail-new-construction-data-15?return=/credits/New%20Construction/v4.1

– International Standard ISO 14021–1999, Environmental labels and declarations—Self Declared Claims (Type II Environmental Labeling): iso.org

– International Standard ISO 14025–2006, Environmental labels and declarations (Type III Environmental
Declarations—Principles and Procedures): iso.org

– International Standard ISO 14040–2006, Environmental management, Life cycle assessment principles, and frameworks: iso.org

– International Standard ISO 14044–2006, Environmental management, Life cycle assessment requirements, and guidelines: iso.org

– CEN Comité Européen de Normalisation (European Committee for Standardization) EN 15804—2012
Sustainability of construction works, Environmental product declarations, Core rules for the product
category of construction products: cen.eu

– International Standard ISO 21930–2007 Sustainability in building construction—Environmental declaration of building products: iso.org

– Federal Trade Commission, Guides for the Use of Environmental Marketing Claims, 16 CFR 260.7 (e): ftc.gov/bcp/grnrule/guides980427.htm

.

แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม

– Type of EPD: https://www.bau-epd.at/en/epd/types-of-declaration

– Type of EPD: https://www.archtoolbox.com/environmental-product-declarations

– Program Operator / Product manufacturer search engine: https://www.eco-platform.org/list-of-all-eco-epd.html

– LCA Product search engine: https://www.eco-platform.org/epd-data.html

– Ecomatter website: https://www.ecomatters.nl/services/lca-epd/environmental-product-declaration/epd-process/#:~:text=The%20EPD%20system%20program%20operator,of%20a%20type%20III%20EPD.


#EPD #Carbon #GreenMaterial #Environment #GreenBuilding #Sustainable #LEED #LEEDCertification #AFRICVS #แอฟริคัส

Net Zero (Architecture and City) ภารกิจปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์

หนึ่งในอาคารที่ได้รับการยอมรับว่าเป็น Net-Zero Energy Architecture ในยุคปัจจุบัน ที่วงการสถาปัตยกรรมกล่าวถึงมากที่สุดอาคารหนึ่งก็คือ อาคารเรียน 4 คณะการออกแบบและสิ่งแวดล้อม (School of Design & Environment – SDE4) มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ (National University of Singapore – NUS) เปิดใช้งานในปี 2019 ซึ่งอาคารนี้ ได้รับรางวัลและการรับรองอาคารระดับนานาชาติจำนวนมาก ได้แก่ Zero Energy Certification by the International Living Future Institute (ILFI) และเป็นอาคารหลังแรกในประเทศสิงคโปร์ที่ได้รับรองมาตรฐานอาคารสุขภาวะดี WELL Certification ระดับ Gold จาก IWBI (International Well Being Institute) และเป็นอาคารเรียนแห่งแรกของโลกที่ได้รับรองมาตรฐาน WELL จุดเด่นของอาคาร SDE4 นี้ ไม่ใช่เทคโนโลยีชั้นสูงเป็นหลัก แต่เป็นการใช้ Passive Design (การออกแบบเพื่อความน่าสบายตามธรรมชาติ) มาเป็นจุดที่นำการออกแบบสถาปัตยกรรมให้มีความสอดคล้องกับสภาพอากาศแบบร้อนชื้น มีการระบายอากาศวิธีธรรมชาติที่ได้ผล การกันแดดและกันฝนสาดที่มีประสิทธิภาพ การใช้แสงสว่างอย่างพอเหมาะ ไม่ร้อนเกินไปหรือเกิดแสงจ้าแยงตาผู้ใช้อาคาร รวมทั้งการใช้พัดลมเพดานแทนการเปิดเครื่องปรับอากาศในบางบริเวณ จนสามารถลดการใช้พลังงานได้มากกว่าอาคารทั่วไป และสามารถใช้พลังงานทดแทนจากแผ่นโซลาร์บนหลังคาอาคารให้เพียงพอต่อการใช้พลังงานของอาคาร

ผู้ออกแบบอาคาร SDE4 ได้เคยกล่าวไว้ว่าหลังคาอาคารในประเทศสิงคโปร์ สามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าได้ประมาณ 280 kWh ต่อตารางเมตรของพื้นที่หลังคา[1] ซึ่งถ้าหากอาคารใช้พลังงาน 70 kWh ต่อตารางเมตร ก็หมายความว่าจะสามารถสร้างอาคารได้ 4 ชั้น โดยใช้พลังงานจากหลังคาได้และสามารถเป็นอาคาร Net-Zero Energy Building ได้ แต่ถ้าไม่ออกแบบอาคารให้ใช้พลังงานน้อยลงตั้งแต่ต้น พื้นที่หลังคาก็มีไม่เพียงพอต่อการผลิตพลังงานให้อาคาร การจะออกแบบอาคารในเขตร้อนชื้นให้ใช้พลังงานเพียง 70 kWh ต่อตารางเมตร  ก็ต้องเน้นที่การลดการใช้พลังงานเพื่อการปรับอากาศเป็นสำคัญ เพราะการปรับอากาศในอาคารเขตร้อนนี้ ถือว่าเป็นสัดส่วนมากกว่า 60% ของการใช้พลังงานทั้งอาคาร ซึ่งทำให้การศึกษาลักษณะอากาศของเขตอากาศแบบต่าง ๆ เป็นสิ่งสำคัญ โดยการพิจารณาวิธีการออกแบบของสถาปัตยกรรมพื้นถิ่น (Vernacular Architecture) จากเขตอากาศต่าง ๆ ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ไปถึงหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่อธิบายปรากฎการณ์การถ่ายเทความร้อน การทำความเย็น การสะสมความร้อนและความเย็นของอาคาร[2]

อาคาร SDE4 มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์

(ที่มา: https://cde.nus.edu.sg/news-detail/sde4-wins-award-for-leadership-in-sustainability/)

ตัวอย่างของการออกแบบ Climate Responsive Design ที่เห็นได้จากสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นในเขตต่าง ๆ สามารถยกตัวอย่างได้เช่น บ้านอิกลูของชาวเอสกิโมในเขตขั้วโลก ที่ใช้รูปทรงกระชับกลมเกลี้ยงไม่ต้านลม วางผังแบบไม่กระจัดกระจาย ไม่ต้องการหน้าต่าง และไม่มีการหันทิศทางอาคารเพราะไม่จำเป็น เนื่องจากอากาศหนาวเย็นจัด ลมหนาวมาจากทุกทิศ จึงต้องทำประตูทางเข้าเป็นหลาย ๆ ชั้นเพื่อลดการรั่วซึมของอากาศหนาวเข้ามาสู่ภายในส่วนนอน ในอีกกรณีคือบ้านในเขตทะเลทราย หรือบ้านมุสลิมมีการออกแบบพื้นที่คอร์ทปิดล้อม เนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนแห้ง การไม่มีหน้าต่างก็เพื่อหลีกเลี่ยงลมร้อนที่จะพัดพาความร้อนและฝุ่นทรายเข้าสู่อาคาร การออกแบบพื้นที่คอร์ทปิดล้อมช่วยให้อาคารรักษาความเย็นเอาไว้ในคอร์ทภายในอาคาร เมื่อร่วมกับการใช้วัสดุมวลสารมากเช่นอิฐหรือดินเหนียว ก็จะทำให้อาคารมีลักษณะของ Thermal Mass ที่หน่วงความร้อนในเวลากลางวัน และเก็บกักความร้อนเพื่อสร้างความอบอุ่นในเวลากลางคืน

เขตอากาศที่มีสภาพรุนแรงทั้งแบบขั้วโลกและแบบทะเลทรายทำให้ความเป็นอยู่ของมนุษย์เป็นไปได้อย่างยากลำบาก การใช้ชีวิตกับสภาพแวดล้อมภายนอกเป็นไปได้อย่างยากลำบาก สถาปัตยกรรมถูกคิดมาเพื่อปกป้องพื้นที่ภายในจากสภาพอากาศภายนอกที่รุนแรง ในขณะที่สภาพอากาศในเขตอากาศที่น่าสบายขึ้นเช่นเขตชายฝั่งทะเลตะวันตก (Marine West Coast) เขตริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (Mediterranean) และเขตร้อนชื้น (Tropical) สถาปัตยกรรมจะมีการพึ่งพากับสภาพอากาศภายนอกมากขึ้น เช่นในเขตชายฝั่งทะเลตะวันตกก็จะออกแบบอาคารให้มีหน้าต่างกระจกมาก ๆ เพื่อดักรังสีอาทิตย์ให้กักเก็บเป็นความร้อนไว้ใช้ทำความอบอุ่นให้พื้นที่ภายใน (Passive Solar Design) หรือในเขตทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่อากาศเย็นสบาย แต่แสงแดดแรง ทำให้ร้อนได้ จึงออกแบบให้อาคารได้รับร่มเงาจากทิวเสา (Colonnade) หรือใช้หน้าต่างบานเกล็ดไม้ ที่ทำหน้าที่บังแดดแต่ให้ลมผ่านได้ดี ทำให้เกิดความน่าสบาย

ในขณะที่เขตอากาศแบบร้อนชื้น หรือ Tropical แบบบริเวณเอเชียอาคเนย์ เช่นภาคใต้ของประเทศไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย รวมทั้งเขตป่าดงดิบลุ่มแม่น้ำอเมซอน และบางส่วนของอัฟริกา อากาศแบบร้อนชื้นเป็นอากาศที่ไม่น่าสบายนักความชื้นในอากาศจะทำให้การถ่ายเทความร้อนจากร่างกายด้วยเหงื่อเป็นไปได้อย่างลำบาก เมื่อร่วมกับความร้อนภายนอกแล้วจะเกิดสภาพที่ร้อนเกินไป ความชื้นในอากาศจะทำให้ท้องฟ้ามีเมฆมาก เป็นผลทำให้อุณหภูมิระหว่างกลางวันและกลางคืนไม่แตกต่างกันมากนัก การใช้ความเย็นในเวลากลางคืนเพื่อดูดซับความร้อนสะสมจากกลางวันจึงไม่ได้ผล อาคารในเขตนี้จึงมักจะก่อสร้างด้วยวัสดุมวลเบาเช่นไม้ เพื่อมิให้ความร้อนในเวลากลางวันสะสมในเนื้อวัสดุจนทำให้กลางคืนร้อนตามไปด้วย อาคารในเขตนี้ยังคงต้องอาศัยการระบายอากาศเพื่อลดความชื้นและใช้การกันแดดเพื่อลดความร้อน โดยจะใช้หลังคาทรงสูงเพื่อป้องกันความร้อนจากหลังคา

อาคารพื้นถิ่นเหล่านี้ สามารถสร้างความน่าอยู่น่าสบายมาได้ด้วยวิธี Passive Design โดยไม่ได้ใช้พลังงาน และนับว่าเป็น Zero Energy Building ได้เช่นกัน แต่จนกระทั่งการพัฒนาเมืองสมัยใหม่ให้มีความหนาแน่นสูง ขาดพื้นที่เปิดโล่งสีเขียว การระบายอากาศธรรมชาติเกิดขึ้นได้ยาก เพราะอาคารในเมืองบังลมกันเอง ประกอบการสร้างแหล่งความร้อนที่มากขึ้นด้วยยวดยานพาหนะ และเครื่องปรับอากาศที่ระบายความร้อนสู่บรรยากาศเมือง เมืองใหญ่หลายแห่งกำลังประสบปัญหาปรากฎการณ์เกาะเมืองร้อน หรือ Urban Heat Island ที่ทำให้อุณหภูมิอากาศในเมืองสูงขึ้นมากกว่าปกติ นอกจากจะทำให้การออกแบบอาคารด้วยวิธีธรรมชาติ เช่นการระบายอากาศธรรมชาติไม่ประสบความสำเร็จแล้ว อาคารบ้านเรือนในเมืองยังใช้พลังงานมากขึ้นย โดยเฉพาะการทำความเย็น สำหรับกรุงเทพมหานคร มีการวิจัยโดยคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่าปรากฎการณ์เกาะเมืองร้อนจะทำให้อุณหภูมิอากาศสูงขึ้นและส่งผลให้อาคารพักอาศัยในเขตกรุงเทพมีการใช้พลังงานเพิ่มสูงขึ้นอีก 15%[3] และจะทำให้การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคอาคารบ้านเรือนเป็นไปได้ยากขึ้น

นอกจากในตัวเมืองกรุงเทพมหานครแล้ว ในเขตรอบนอกเมืองใหญ่ก็ใช่ว่าจะสามารถใช้การออกแบบอาคารบ้านเรือนให้กลมกลืนกับธรรมชาติแบบ Passive Design ได้ เพราะมีมลภาวะทางอากาศจากฝุ่น PM2.5 ทำให้ผู้คนหันมาใช้ระบบปรับอากาศและปิดอาคารจากอากาศภายนอก ตัวอย่างเช่น อาคารโรงเรียนปัญญาเด่น จังหวัดเชียงใหม่ ที่ออกแบบก่อสร้างด้วยโครงไม้ไผ่ กลมกลืนอยู่กับธรรมชาติ ไม่ใช้เครื่องปรับอากาศ เป็นโรงเรียนคาร์บอนต่ำมาโดยตลอดจนกระทั่งไม่สามารถทนรับกับฝุ่น PM2.5 ในจังหวัดเชียงใหมได้ ก็ต้องปิดผนังทับและติดตั้งเครื่องปรับอากาศทั้งโรงเรียนในเวลาต่อมา

สภาพแวดล้อมเมืองที่หนาแน่นและไม่มีการวางผังที่ดีเพื่อให้เป็นเมืองที่เอื้อต่อการประหยัดพลังงาน และลดการปล่อยคาร์บอน ทำให้การปล่อยคาร์บอนยังไม่ทิศทางที่จะลดลงได้ตามที่ตั้งเป้ากันทั่วโลก ทำให้ที่ประชุมนานาชาติ COP26 ได้เกิดความพยายามที่จะดำเนินการตามเป้าให้ได้ผลจริง จึงเริ่มมีการกำหนดแผนการปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ในอนาคต ซึ่งภาคอสังหาริมทรัพย์ก็พยายามตอบรับกับแผนดังกล่าวและพยายามหาแนวทางการปฎิบัติ หรือ Road Map ให้เป็นไปตามนั้น ซึ่งสิ่งที่ภาคก่อสร้างอาคารสามารถเริ่มดำเนินการได้ในขณะนี้ก็คือการปรับเปลี่ยนมาใช้วัสดุก่อสร้างอาคารแบบคาร์บอนต่ำ เช่นการเปลี่ยนจากการใช้ซีเมนต์ เหล็ก อลูมิเนียม มาเป็นการใช้วัสดุธรรมชาติเช่น ไม้ ไม้ไผ่ เปลือกไม้คอร์ก ฝ้าย โดยวัสดุธรรมชาติเหล่านี้ มักจะใช้พลังงานในการผลิตที่ต่ำ หรือเรียกว่า Embodied Energy ซึ่งอาคารที่จะเรียกว่าปล่อยคาร์บอนต่ำก็จึงควรเป็นอาคารที่มีค่า Embodied Energy ต่ำ ด้วยเหตุนี้ หลายประเทศจึงเริ่มคิดค้นวิธีปลูกต้นไม้เพื่อนำมาใช้ผลิตวัสดุก่อสร้าง และพยายามพัฒนาแปรรูปไม้ให้เป็นไม้ลามิเนตที่แข็งแรงเป็นพิเศษ เรียกว่า Cross Laminated Timber และ Glulam เพื่อใช้เป็นโครงสร้างอาคารทดแทนคอนกรีตและเหล็กที่เป็นวัสดุก่อสร้างที่มีการปล่อยคาร์บอนสูงเนื่องจากกระบวนการผลิตที่ใช้พลังงานจำนวนมาก

อย่างไรก็ดี การพิจารณาการเป็นอาคารคาร์บอนต่ำ จะประเมินด้วย Embodied Carbon อย่างเดียวไม่ได้ เพราะตลอดอายุการใช้งานของอาคารหลายสิบปี  ยังมีการปล่อยคาร์บอนจากการใช้พลังงานในช่วงการใช้สอยอาคาร หรือเรียกว่า Operational Carbon ซึ่งการประเมินการปล่อยคาร์บอนจากการใช้พลังงานตลอดช่วงอายุอาคารจะเรียกว่า Life Cycle Carbon ซึ่งมีงานวิจัยโดยคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่า Operational Carbon มีปริมาณมากกว่า Embodied Carbon แตกต่างกันไปตามประเภทอาคาร อาคารสำนักงานจะมี Embodied Carbon เพียง 10% ในขณะที่บ้านพักอาศัยจะมี 43% ซึ่งทำให้ผู้ออกแบบต้องระมัดระวังเรื่องวัสดุอาคารบ้านมากกว่าสำนักงาน[4]

จากงานวิจัยที่กล่าวมา เมื่อทราบว่า Operational Energy ตลอดช่วงชีวิตของอาคารมีความสำคัญมาก การออกแบบอาคารให้ประหยัดพลังงานจึงเป็นเรื่องที่สำคัญเพื่อให้ได้ Net-Zero Energy Building การออกแบบอาคารให้ประหยัดพลังงานสามารถใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยจำลองการใช้พลังงาน หรือ Energy Simulation ตัวอย่างวิธีการทำจะเริ่มโดยการเลือกแบบอาคารมาตรฐานมาจำลองว่าถ้าทำการปรับเปลี่ยนการออกแบบ การใช้วัสดุ และอุปกรณ์ต่างๆ จะส่งผลให้ลดการใช้พลังงานลงได้เท่าใด และหากทำการติดตั้งระบบผลิตพลังงาน เช่น แผ่นโซลาร์บนหลังคาแล้ว จะผลิตได้เท่าใด สรุปรวมแล้วจะสามารถทำให้ได้ Net-Zero Energy หรือปริมาณการผลิตพลังงานได้ทั้งปีมีค่าเท่ากับปริมาณการใช้พลังงานทั้งปีของอาคาร ผลการศึกษาเบื้องต้นพบว่า สำหรับบ้านพักอาศัย 2 ชั้น พบว่า หากทำการออกแบบบ้าน และการใช้วัสดุที่ป้องกันความร้อนได้ เพื่อให้สามารถประหยัดพลังงานได้อย่างน้อย 24% การติดตั้งแผ่นโซลาร์บนหลังคาประมาณ 8 kW ก็สามารถทำให้บ้านเป็น Net-Zero Energy ได้ โดยใช้เงินลงทุนในการปรับวัสดุบ้านให้ประหยัดพลังงานเพิ่มขึ้น 4.5% และจะคืนทุนภายใน 7 ปี แต่ทั้งนี้ ยังไม่ได้พิจารณาว่าอุณหภูมิอากาศของเมืองอาจจะเพิ่มสูงขึ้นไปอีก และทำให้บ้านต้องออกแบบให้มีประสิทธิภาพพลังงานดีขึ้นไปกว่านี้ด้วย

ด้วยเหตุที่กล่าวมา จะเห็นว่าอาคารที่ตั้งอยู่ในเมือง คงจะไม่สามารถเป็น Net-Zero Energy ได้ หากสถานที่ตั้ง ของอาคารไม่ได้ส่งเสริมให้ลดการใช้พลังงาน ซึ่งปรากฎการณ์เกาะเมืองร้อน ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่เพิ่มภาระการทำความเย็นของอาคารในเมือง แต่นอกเหนือจากการใช้พลังงานและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเนื่องจากสภาพแวดล้อมเมืองหรือที่ตั้งอาคารนั้นยังมีเรื่องการจราจรขนส่งในเมืองที่ปล่อยคาร์บอนเป็นปริมาณมาก ซึ่งอาจจะมากกว่าที่มาจากตัวอาคารเองด้วย ยกตัวอย่างเช่น เมืองชิคาโกเคยทำการประเมินการปล่อยคาร์บอนของอาคารบ้านเรือนในเขตตัวเมืองและรอบ ๆ เมือง และพบว่าหากประเมินการปล่อยคาร์บอนของอาคารต่อตารางเมตรจะพบว่าในตัวเมืองที่เป็นเขตพาณิชยกรรมจะปล่อยมาก แต่หากนำการปล่อยจากการเดินทางของครัวเรือนเข้ามารวมด้วย จะพบว่าอาคารบ้านเรือนที่อยู่นอกเมืองที่ยิ่งไกลจากแหล่งงานกลางใจเมืองจะยิ่งปล่อยคาร์บอนสูงตามระยะทาง

การเดินทางขนส่งในเมืองสามารถช่วยลดการปล่อยคาร์บอนได้ หากการวางผังเมือง การวางเส้นทางไปยังส่วนต่างๆ ของเมือง สามารถเดินถึงกันได้ง่าย (Walkability) หรือส่งเสริมให้โครงการพัฒนาขนาดใหญ่กลางเมืองเป็นแบบมิกซ์ยูส (Mixed Use) ที่ให้ผู้ใช้อาคารไม่ต้องเดินทางไกลๆ ทุกวัน ซึ่งมีงานวิจัยศึกษาพบว่าเมืองที่มี Walkability สูง ผู้คนมีโอกาสจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น เพราะมีเวลาเดินเท้าผ่านหน้าร้านที่ทำธุรกิจร้านค้าขายต่าง ๆ มากขึ้น เกิดเป็นรายได้จากภาษีของเมืองที่เก็บได้มากขึ้น[5] ด้วยเหตุนี้ เกณฑ์อาคารเขียวประเภทการวางผังบริเวณ เช่น LEED for Neighborhood Development (LEED ND) จึงออกเกณฑ์การจัดแบ่งแปลงที่ดิน การจัดวางระบบถนน ทางเท้า พื้นที่เปิดโล่งต่าง ๆ ให้ส่งเสริมการเดินเท้า (Walkable Street) ที่กล่าวถึงทั้งการจัดให้มีทางแยก (Intersection) ไม่น้อยกว่า 54 ทางแยกต่อตารางกิโลเมตร, มีทางแยกทุก ๆ ระยะเดินไม่เกิน 180 เมตร, ทางเท้ามีต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงาทุกๆ ระยะ 12 เมตร, ผนังอาคารด้านที่ติดทางเท้าให้เป็นกระจกอย่างน้อย 60% และมีประตูทางเข้าอาคารทุก ๆ ระยะไม่เกิน 23 เมตร เป็นต้น

กล่าวโดยสรุปของการทำ Net-Zero Architecture จะมีประเด็นสำคัญที่ต้องคำนึงถึงดังนี้

  1. อาคารจะปล่อยคาร์บอนหลัก ๆ คือช่วงก่อสร้าง (Embodied or Production) ที่มาจากการใช้วัสดุก่อสร้างมาสร้างอาคาร และช่วงใช้สอย (Operation) ที่มาจากการใช้พลังงาน การใช้น้ำ และการปล่อยน้ำเสียของอาคารตลอดช่วงอายุใช้งานอาคาร
  2. อาคารบ้านพักอาศัยจะมีการปล่อยคาร์บอนช่วง Production เป็นสัดส่วนที่มากกว่าช่วง Operation การใช้วัสดุก่อสร้างคาร์บอนต่ำจึงช่วยลดได้มาก ในขณะที่อาคารพาณิชยกรรมจะปล่อยช่วง Operation จากการปรับอากาศ และการใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่มากกว่า
  3. การประหยัดพลังงานเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนของอาคารในเขตร้อนชื้นจะต้องเน้นเรื่องการป้องกันความร้อน เพื่อลดภาระการปรับอากาศ แต่เมืองใหญ่ที่มีความหนาแน่นสูง และมีปัญหาความร้อน Urban Heat Island จะทำให้การประหยัดพลังงานของอาคารทำได้ยากขึ้น ต้องปรับสภาพแวดล้อมเมืองให้เป็นเมืองประหยัดพลังงาน ซึ่งหากเป็นเมืองในเขตร้อนชื้น ก็ต้องเน้นที่การเพิ่มพื้นที่สีเขียว พื้นที่ซึมน้ำ และพื้นที่เปิดโล่งให้มีการระบายอากาศได้ดี
  4. ถึงแม้ว่าจะสามารถทำเมืองให้เย็นสบายน่าอยู่ได้แล้ว แต่หากการวางผังเมืองยังเป็นอุปสรรคต่อการเดินทางสัญจรของผู้คน ทำให้เกิดการใช้ยานพาหนะที่ใช้น้ำมันมาก การปล่อยคาร์บอนจากการเดินทางก็จะสูงตาม ทำให้การพัฒนาเมืองเริ่มปรับเปลี่ยนให้เป็นเมืองคาร์บอนต่ำด้วยการทำถนนหนทางให้เป็น Walkable Street ซึ่งมีแนวทางกำหนดไว้ในเกณฑ์ LEED for Neighborhood Development (LEED ND) Version

[1] https://nzeb.in/webinars/design/sde4/

[2] อรรจน์ เศรษฐบุตร (2557). นิเวศวิทยสถาปัตย์ – Ecological Architecture. คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ISBN: 978-616-551-822-2

[3] ณัฏฐา ตระกูลไทย และอรรจน์ เศรษฐบุตร (2559). ผลกระทบจากภาวะอากาศเปลี่ยนแปลงต่อการใช้พลังงานอาคารในเขตร้อนชื้น. เอกสารประกอบการประชุมวิชาการเครือข่ายพลังงานแห่งประเทศไทยครั้งที่ 12 วันที่ 8 – 10 มิถุนายน พ.ศ. 2559 ณ โรงแรมวังจันทน์ ริเวอร์วิว จ.พิษณุโลก

[4] อรรจน์ เศรษฐบุตร (2555) ดัชนีค่าการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อหัวของผู้ใช้อาคารในประเทศไทย. วารสารวิชาการสถาปัตยกรรม คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

[5] Peltier, H. (2010). Estimating the employment impacts of pedestrian, bicycle, and road infrastructure-case study: Baltimore. (https://trid.trb.org/view/1094074)

WHO แนะนำการระบายอากาศเพื่อรับมือ COVID-19

การระบายอากาศ คือ การนำอากาศบริสุทธิ์จากภายนอกเข้าไปแทนที่อากาศเดิมภายในพื้นที่ซึ่งอาจมีการสะสมหรือปนเปื้อนของเชื้อโรคและสารเคมีต่างๆ โดย Africvs ได้สรุป 8 ข้อแนะนำในการปรับปรุงการระบายอากาศภายในอาคารเพื่อรับมือกับโรค COVID-19 จากองค์การอนามัยโลก (WHO) ดังนี้

  • การระบายอากาศด้วยวิธีธรรมชาติ (Natural Ventilation) โดยการเปิดหน้าต่างเพื่อเพิ่มการถ่ายเทอากาศภายในอาคาร หรือใช้พัดลมตั้งริมหน้าต่างเพื่อช่วยเร่งการดึงอากาศเข้าหรือเป่าอากาศออกจากห้องเพิ่มเติม
  • เพิ่มปริมาณการเติมอากาศบริสุทธิ์ภายนอก (Outdoor Air) ของระบบปรับอากาศและระบายอากาศ โดยจะต้องควบคุมอุณหภูมิและความชื้นให้เหมาะสมต่อการใช้งาน เช่น ระบบ Energy Recovery Ventilator (ERV) หรือ Outdoor Air Unit (OAU) เป็นต้น
  • เพิ่มปริมาณอากาศ Supply air ที่จ่ายเข้าให้แต่ละพื้นที่ เพื่อเพิ่มอัตราการหมุนเวียนอากาศ (Air Change Rate)
  • ระบบควบคุมความต้องการใช้ระบบระบายอากาศ (Demand Control Ventilation) ที่จะเพิ่มการจ่ายอากาศ Supply air ตามอุณหภูมิหรือจำนวนผู้ใช้อาคารภายในห้องที่เพิ่มขึ้น
  • ปรับปรุงระบบกรองอากาศให้มีประสิทธิภาพสูงสุดเท่าที่ระบบจะรองรับได้ และหมั่นตรวจสอบการทำงานให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์
  • ปิดระบบระบายอากาศให้เติมอาการบริสุทธิ์ภายนอกเข้ามาให้มากที่สุดเป็นเวลา 2 ชั่วโมง ทั้งก่อนและหลังการใช้งานพื้นที่ต่างๆ
  • ประเมินทิศทางการไหลของอากาศ (Clean-to-less-clean air movement) โดยพิจารณาตำแหน่งหัวจ่ายลมและหัวดูดลมกลับ (Supply air and Return air diffuser) รวมถึงความแตกต่างของความดันอากาศ เพื่อผู้ใช้อาคารได้รับอากาศบริสุทธิ์และลดความเสี่ยงจากการแพร่กระจายของอากาศเสียจากพื้นที่ข้างเคียง
  • เปิดพัดลมระบายอากาศในห้องน้ำตลอดเวลาเพื่อควบคุมไม่ให้อากาศเสียจากห้องน้ำไหลย้อนกลับเข้ามาในพื้นที่ใช้สอยส่วนอื่นๆ

ถึงแม้ว่าการเพิ่มอัตราระบายอากาศด้วยวิธีกรรมชาติและวิธีกลตามที่ WHO แนะนำจะช่วยลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อทางอากาศลงได้ แต่ก็ต้องปฏิบัติควบคู่ไปกับมาตรการอื่นๆ เช่น การสวมใส่หน้ากาก การเว้นระยะห่าง หรือการรักษาความสะอาด เช่นกัน

ทั้งนี้ การออกแบบอาคารตามมาตรฐานอาคารเขียวและอาคารส่งเสริมสุขภาวะผู้ใช้อาคาร เช่น LEED และ WELL ก็มีหลายประเด็นที่ช่วยส่งเสริมคุณภาพอากาศภายในอาคาร เช่น ประตูทางเข้าอาคารที่สามารถป้องกันมลพิษจากภายนอก ระบบระบายอากาศในห้องที่มีมลพิษเพื่อป้องกันการฟุ้งกระจาย ระบบ UVGI เพื่อฆ่าเชื้อโรคในระบบปรับอากาศ หรือติดอุปกรณ์ตรวจวัดคุณภาพอากาศ เป็นต้น

อ้างอิง;
https://www.who.int/news-room/questions-and-answers/item/coronavirus-disease-covid-19-ventilation-and-air-conditioning-in-public-spaces-and-buildings
https://www.epa.gov/coronavirus/indoor-air-homes-and-coronavirus-covid-19#:~:text=Ensuring%20proper%20ventilation%20with%20outside,virus%20that%20causes%20COVID-19
Box photo created by kjpargeter – www.freepik.com

ฝุ่น PM2.5 ที่เป็นปัญหา

ผลกระทบต่อสุขภาพของฝุ่น PM2.5 ที่กำลังกลับมาอีกครั้งในช่วงสิ้นปี 2020 นี้

AFRICVS ได้สรุป 9 ประเด็นที่น่าสนใจจากบทความที่ WHO ได้ออกมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบต่อสุขภาพของฝุ่น PM10 และ PM2.5 เพื่อกระตุ้นให้มีการออกมาตรการลดมลพิษทางอากาศอย่างมีประสิทธิภาพในปี 2013 ดังนี้

  1. ฝุ่น PM10 และ PM2.5 เป็นฝุ่นละอองที่มีขนาดเล็กมากจนสามารถเล็ดลอดเข้าไปในทรวงอกผ่านทางระบบทางเดินหายใจได้
  2. การได้รับฝุ่น PM ในระยะสั้น (ชั่วโมง-วัน) และระยะยาว (เดือน-ปี) จะส่งผลให้
    1. เกิดการเจ็บป่วยในระบบทางเดินหายใจและระบบหลอดเลือดหัวใจ เช่น โรคหอบหืด การหายใจผิดปกติ
    2. เกิดการเสียชีวิตจากโรคระบบทางเดินหายใจ ระบบหลอดเลือดหัวใจ และมะเร็งปอด
  3. ความเสี่ยงในการเสียชีวิตจากระบบหัวใจและปอดเนื่องจากได้รับฝุ่น PM2.5 เป็นเวลานานจะเพิ่มขึ้น 6-13% ต่อปริมาณ PM2.5 10 µg/m3
  4. การได้รับฝุ่น PM2.5 ทำให้อายุขัยของประชากรลง 8.6 เดือนโดยเฉลี่ย โดย 1 ใน 30 คนมีปัญหาทางหัวใจและปอด และ 1 ใน 20 ของการตายจากโรคมะเร็งปอดมีสาเหตุจากฝุ่น PM
  5. ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงหรือกลุ่มอ่อนไหว ได้แก่ ผู้ที่มีโรคประจำตัวในด้านปอดและหัวใจ ผู้สูงอายุ และเด็ก เช่น ฝุ่น PM จะส่งผลต่อการพัฒนาปอดในเด็ก รวมถึงการทำงานของปอดในระยะยาว
  6. WHO ได้กำหนดค่ามาตรฐานคุณภาพอากาศ AQGs (Air Quality Guidelines) 2005
    1. ค่าเฉลี่ย PM2.5 ต่อปีไม่เกิน 10 µg/m3 และค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมงไม่เกิน 25 µg/m3
    2. ค่าเฉลี่ย PM10 ต่อปีไม่เกิน 20 µg/m3 และค่าเฉลี่ย 50 ชั่วโมงไม่เกิน 25 µg/m3
  7. เทคโนโลยีในปัจจุบันสามารถลดปัญหาฝุ่นละอองในอากาศลงได้ 80% โดยอาศัยความร่วมมือกันของทุกภาคส่วน ทั้งในประเทศและนานาชาติ
  8. การลดมลพิษทางอากาศให้ประโยชน์ในหลากหลายมิตินอกเหนือไปจากด้านสุขภาพ เช่น การลดการเผาไหม้นอกจากจะลดฝุ่น PM แล้ว ยังช่วยลดการปล่อยคาร์บอนอันเป็นสาเหตุหลักของปัญหาโลกร้อนเช่นกัน
  9. นโยบายการวางผังเมืองและระบบคมนาคมที่คำนึงถึงการเดินเท้า ปั่นจักรยาน ระบบขนส่งสาธารณะจะช่วยลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล ส่งเสริมการขนส่งเพื่ออากาศสะอาด และส่งเสริมสุขภาวะของคนในเมือง

นอกจากนี้ การให้ความสำคัญเรื่องคุณภาพอากาศภายในอาคารทั้งในขั้นตอนการออกแบบและก่อสร้างก็มีส่วนสำคัญในการสร้างสภาพแวดล้อมภายในอาคารที่ดีให้กับผู้ใช้อาคาร ซึ่งในปัจจุบันก็มีเกณฑ์การออกแบบอาคารเขียวและอาคารส่งเสริมสุขภาวะผู้ใช้อาคารออกมามากมาย เช่น LEED หรือ WELL จากสถาบันอาคารเขียวอเมริกา และ TREES หรือ SOOK จากสถาบันอาคารเขียวไทย เป็นต้น

หวังว่าข้อสรุปทั้ง 9 ข้อนี้จะมีส่วนช่วยให้ทุกคนเข้าใจถึงอันตรายของฝุ่น PM และหันมาให้ความสำคัญในการร่วมมือกันแก้ไขปัญหาคุณภาพอากาศมากยิ่งขึ้น ทั้งในระดับตัวบุคคล องค์กร ภาครัฐ และระดับชาติต่อไป

อ้างอิงจาก
https://www.euro.who.int/__data/assets/pdf_file/0006/189051/Health-effects-of-particulate-matter-final-Eng.pdf
Business photo created by diana.grytsku – https://www.freepik.com/diana-grytsku